วันอังคารที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2560

การจัดการงานอาชีพ





การจัดการงานอาชีพ


1. ขั้นตอนของการพัฒนาด้านอาชีพ
            ช่วงแรก  เป็นระยะเริ่มต้นก้าวสู่งานอาชีพ (ESTABLISHMENT STAGE) ซึ่งอยู่ในช่วงอายุประมาณ 21-26 ปี ช่วงวัยนี้แต่ละคนยังไม่ค่อยมั่นใจในขีดความสามารถ (COMPETENCY) และศักยภาพ (POTENTIAL) ของตนเองมากนัก ดังนั้นการทำงานของคนในวัยนี้ ยังต้องพึ่งพิงพนักงานรุ่นพี่หรือผู้บังคับบัญชา ซึ่งมีประสบการณ์การทำงานมากกว่า ให้ช่วยแนะนำสอนงาน รวมทั้งช่วยประเมินเพื่อสะท้อนผลการปฏิบัติงานของพวกเขาว่าทำได้ดีมากน้อยเพียงใด กล่าวโดยสรุป ช่วงอายุ 21-26 ปี เป็นวัยซึ่งคนเริ่มต้นตัดสินใจเลือกว่า จะก้าวเข้าสู่งานอาชีพอะไร จะทำงานในหน่วยงานใดในตำแหน่งงานอะไร คนในช่วงวัยนี้ อยู่ในวัยของการสำรวจแสวงหาลู่ทางสำหรับงานในอนาคตของตนเอง ในขณะเดียวกันก็ค่อย ๆ เรียนรู้ทำความเข้าใจในศักยภาพของตนเองว่า มีความถนัดในด้านใดมากน้อยเพียงใด
            ช่วงที่ 2  ซึ่งอยู่ในระหว่างช่วงอายุประมาณ 26-40 ปี (ADVANCEMENT STAGE) เป็นช่วงการไขว่คว้าหาความก้าวหน้าในงานอาชีพของตนเอง ช่วงวัยนี้แต่ละคนเริ่มมีความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น เริ่มทำงานได้อย่างเป็นอิสระโดยไม่ต้องพึ่งพิงพนักงานรุ่นพี่หรือผู้บังคับบัญชามากขึ้น คนทำงานในวัยนี้ มุ่งมั่นทำงานเพื่อแสวงหาความก้าวหน้าในหน้าที่การงานของตนเอง พยายามเรียนรู้ให้สามารถทำงานได้ด้วยความสามารถของตนเอง พยายามสร้างเครือข่ายกับเพื่อนร่วมงานมากขึ้น รวมทั้งมุ่งมั่นไปสู่ความสำเร็จของงานอาชีพในระยะยาวเป็นเป้าหมายหลักที่จะไปให้ถึง
            ช่วงที่ 3  ซึ่งอยู่ระหว่างช่วงอายุประมาณ 40-60 ปี (MAINTENANCE STAGE) เป็นช่วงอายุของการบำรุงรักษาและทบทวนงานอาชีพของตนเอง ทั้งนี้เพราะในช่วงวัยนี้ คนจำนวนหนึ่งอาจประสบความสำเร็จมีความก้าวหน้าในงานอาชีพของตนเองในระดับมากพอสมควร ในขณะที่มีคนจำนวนไม่น้อยที่อาจไม่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานเท่าที่ควรหรืออาจกำลังประสบกับวิกฤตการณ์ในชีวิตการทำงานของตนเองด้วยซ้ำ สำหรับพวกที่ประสบความสำเร็จ คนกลุ่มนี้จะพยายามทำตัวให้มีประโยชน์ต่อองค์การ โดยให้ความช่วยเหลือพนักงานรุ่นน้อง ๆ ในการแก้ไขและพัฒนาการทำงานต่าง ๆ
            ช่วงที่ 4  ซึ่งอยู่ระหว่างช่วงอายุประมาณ 60 ปีขึ้นไป คนในวัยนี้เป็นวัยเกษียณอายุ (WITHDRAWAL STAGE) เป็นช่วงวัยที่คนยุติชีวิตการทำงานของตนเอง เพื่อพักผ่อนหลังจากตรากตรำทุ่มเทชีวิตให้กับการทำงานมาอย่างต่อเนื่องยาวนานคนในวัยนี้ต้องการถ่ายทอดประสบการณ์ ความรู้ที่ตนเองสั่งสมมาตลอดชีวิตการทำงานให้กับคนรุ่นหลัง สำหรับคนที่ประสบความสำเร็จมาตลอดระยะเวลายาวนานในงานอาชีพของตนเองมักมีความรู้สึกภาคภูมิใจและต้องการจากงานอาชีพของตน โดยทิ้งความสำเร็จของตนเองเป็นอนุสรณ์ให้ผู้คนระลึกถึงต่อไปการทำความเข้าใจ ช่วงเวลาที่คนทำงานต้องก้าวหน้าไปในแต่ละระยะของงานอาชีพ จะช่วยให้พนักงานสามารถพัฒนาตนเองให้พร้อมรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในแต่ละช่วงอายุการทำงานของเขา ในส่วนขององค์การนั้น

2. การจัดทำสายอาชีพ 
            ขั้นตอนที่ 1 : การศึกษาโครงสร้างองค์การ/ตำแหน่ง  เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดผังโครงสร้างองค์การ โครงสร้างตำแหน่งงาน และระดับตำแหน่งงานขององค์การในปัจจุบัน และนำไปใช้เป็นแนวทางในการวิเคราะห์งาน การจัดกลุ่มงานให้เหมาะสมกับลักษณะธุรกิจขององค์การ โดยต้องสำรวจและศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
              ผังโครงสร้างองค์การ/หน่วยงาน (ORGANIZATION CHART) ว่าองค์การกำหนดผังโครงสร้างในภาพรวมเป็นอย่างไร โดยจัดแบ่งหน่วยงานเป็นระดับฝ่าย ส่วน และแผนกอย่างไรบ้าง
            ผังโครงสร้างตำแหน่งงาน (POSITION CHART) ในแต่ละหน่วยงานประกอบด้วยตำแหน่งงานใดบ้าง ซึ่งรวมทั้งตำแหน่งงานว่างและตำแหน่งงานที่มีผู้ดำรงตำแหน่งรวมทั้งสายการบังคับบัญชาของหน่วยงานเป็นอย่างไร
            ระดับตำแหน่งงาน (POSITION LEVEL) พิจารณาระดับตำแหน่งงานทั้งหมดขององค์การว่าจัดแบ่งเป็นระดับใด โดยให้ระบุระดับของตำแหน่งงานตั้งแต่ระดับสูงสุดจนกระทั่งระดับล่างสุด
            ขั้นตอนที่ 2 : การวิเคราะห์งาน (JOB ANALYSIS)  เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการจัดกลุ่มงาน (JOB FAMILY) และจัดทำรูปแบบของสายอาชีพ (CAREER MODEL) ให้เหมาะสมกับลักษณะธุรกิจขององค์การ การวิเคราะห์งานเป็นการศึกษาขอบเขตหน้าที่ความรับผิดชอบและกิจกรรมหลักของแต่ละงาน รวมทั้งคุณสมบัติที่จำเป็นของงานในตำแหน่งงานต่างๆ ซึ่งจะประกอบไปด้วยวุฒิการศึกษา ประสบการณ์ที่จำเป็นและความสามารถที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน วิธีการเก็บข้อมูลสามารถทำได้ 2 วิธี ได้แก่            
            การสัมภาษณ์พนักงาน โดยการมอบหมายให้ฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ หรือผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้สัมภาษณ์หัวหน้างานและพนักงานเป็นรายบุคคลเกี่ยวกับหน้าที่และความรับผิดชอบรวมทั้งคุณสมบัติขั้นต่ำที่จำเป็นและความสามารถของแต่ละตำแหน่งงาน            
การจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการกลุ่มย่อย (FOCUS GROUP) โดยการมอบหมายให้ฝ่ายทรัพยากรมนุษย์หรือผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้จัดสัมมนากลุ่มย่อยสำหรับหัวหน้างานและพนักงาน เพื่อฝึกอบรม ฝึกสอนและฝึกปฏิบัติเกี่ยวกับวิธีการในการจัดทำคำบรรยายลักษณะงานอย่างถูกต้องเหมาะสมสำหรับใช้เป็นแนวทางในการจัดทำสายอาชีพต่อไป
            ขั้นตอนที่ 3 : การจัดกลุ่มงาน (JOB FAMILY)  เป็นการจัดแบ่งกลุ่มงานที่มีหน้าที่ความรับผิดชอบและคุณสมบัติของตำแหน่งงานใกล้เคียงกันให้อยู่ในกลุ่มเดียวกัน โดยวิเคราะห์จากคำบรรยายลักษณะงานของตำแหน่งงานที่จัดขึ้น โดยมีวิธีการจัดทำดังนี้            
ศึกษาขอบเขตหน้าที่งาน (SCOPE OF WORK) และคุณสมบัติเฉพาะตำแหน่งงาน(JOB SPECIFICATION) ซึ่งประกอบไปด้วยการศึกษา ประสบการณ์ ความสามารถที่จำเป็นของตำแหน่งงาน โดยศึกษาจากคำบรรยายลักษณะงานที่จัดทำขึ้น            
จัดแบ่งกลุ่มงาน (JOB FAMILY) โดยพิจารณาจัดกลุ่มงานจากงานที่มีความสามารถ(COMPETENCY) ที่คล้ายคลึงกันควรจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกัน            
จัดแบ่งกลุ่มงานย่อย (SUB GROUP) ของแต่ละกลุ่มงานที่กำหนดขึ้น โดยพิจารณาจากขอบเขตหน้าที่ คุณสมบัติและความสามารถที่คล้ายคลึงกันจะอยู่ในกลุ่มงานย่อย
            ขั้นตอนที่ 4 : การจัดทำรูปแบบเส้นทางความก้าวหน้าในสายอาชีพขององค์กร             CAREER MODEL และเกณฑ์ในการเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งแนวทางในการจัดทำรูปแบบเส้นทางความก้าวหน้าในสายอาชีพขององค์การ (CAREER MODEL) มีดังต่อไปนี้            
ระบุตำแหน่งงานทั้งหมดที่อยู่ในหน่วยงานทั้งในระดับฝ่าย ส่วน แผนกของแต่ละกลุ่มงานย่อยของแต่ละกลุ่มงาน (JOB FAMILY) ที่กำหนดขึ้น             
จัดกลุ่มแนวทางเลือกในสายอาชีพโดยการโอนย้ายกลุ่มงานให้เหมาะสม ซึ่งพิจารณาจากความสามารถในงาน (JOB COMPETENCY)
โอนย้ายงานข้ามกลุ่มย่อยของกลุ่มงานเดียวกัน เช่นจากหน่วยงานคลังสินค้าไปยังหน่วยงานจัดส่ง -  โอนย้ายงานข้ามกลุ่มงานที่ต่างกัน เช่น จากฝ่ายผลิต ไป ฝ่ายวิศวกรรม
หลังจากที่มีการกำหนดตำแหน่งงานในแต่ละกลุ่มงาน รวมทั้งการจัดกลุ่มแนวทางเลือกในสายอาชีพโดยการโอนย้ายกลุ่มงานให้เหมาะสมแล้ว ขั้นตอนต่อไปให้จัดทำรูปแบบเส้นทางความก้าวหน้าในสายอาชีพของตำแหน่งงานและเกณฑ์ในการเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติและแจ้งให้พนักงานทราบต่อไป
3. ปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดความสำเร็จในงานอาชีพ
👻 ความต้องการมุ่งความสำเร็จ (Need for Achivement)  ในการทำงานเมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วและมองเห็นโอกาสแห่งความเป็นไปได้  ผู้ประกอบการจะต้องมุ่งมั่นใช้กำลังกาย กำลังความคิด สติปัญญาและความสามารถทั้งหมด  พร้อมทั้งทุ่มเทเวลาให้กับงาน  โดยไม่คำนึงถึงความยากลำบาก  เพื่อให้งานบรรลุความสำเร็จที่มุ่งหวังไว้ 
👻  มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ (Creativity  Thinking) การจะเป็นผู้สำเร็จในงานอาชีพได้นั้น  จะต้องเป็นผู้ที่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ไม้พอใจในการทำสิ่งซ้ำๆเหมือนเดิมตลอดเวลา  แต่เป็นผู้ที่ชอบนำประสบการณ์ที่ผ่านมาประยุกต์  สร้างสรรค์  หาวิธีใหม่ที่ดีกว่าเดิม  สามารถหาแนวทางพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการ  ปรับปรุงกระบวนการดำเนินการอยู่ตลอดเวลา กล้าที่จะผลิตสินค้าที่แตกต่างจากเดิม กล้าใช้วิธีขายที่ไม่เหมือนใคร  กล้าประดิษฐ์  กล้าคิดค้นสิ่งที่แปลกใหม่เข้าสู่ตลาด  สามารถคิดค้นประดิษฐ์เครื่องจักรเครื่องมืออุปกรณ์ใหม่ๆ มาใช้ในการผลิต  สามารถนำเทคโนโลยีใหม่ๆมาใช้  รวมทั้งแสวงหาวัตถุดิบใหม่ๆมาทดแทนของเดิม  รู้จักปรับปรุงกระบวนการดำเนินงาน  นำระบบการจัดการสมัยใหม่ที่มีประสิทธิภาพมาใช้เพื่อลดต้นทุน  ความคิดสร้างสรรค์เหล่านี้  อาจเกิดขึ้นด้วยตัวเอง หรือเอาแนวคิดมาจากนักประดิษฐ์ นักวิจัยหรือผู้เชี่ยวชาญก็ได้
  👻  รู้จักผูกพันต่อเป้าหมาย (Addicted to Goals) เมื่อตั้งเป้าหมาย  ผู้ประกอบการจะต้องทุ่มเททุกอย่างเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย  เป้าหมายทุกเป้าหมายล้วนจะต้องเอาชนะทั้งสิ้น  มีความคิดผูกพันที่จะเอาชนะ  จนสามารถวางแผนกลยุทธ์ไว้ล่วงหน้า  มีการวิเคราะห์ปัญหา อุปสรรค ขัดขวางในการไปสู่เป้าหมาย  เตรียมป้องกันที่จะเอาชนะอุปสรรค  ที่คาดว่าจะทำให้เกิดความล้มเหลว  และหาหนทางแก้ไขเมื่อประสบความเหลว  และในขณะเดียวกันการมองโลกในแง่ดีมีความหวัง  มุ่งมั่นต่อไปเป้าหมายของความสำเร็จจะมองเห็นในอนาคต
👻 มีความสามารถในการบริหารงานและมีความเป็นผู้นำที่ดี (Management and Leadership Capability)  มีลักษณะการเป็นผู้นำ  รู้จักหลักการบริหารจัดการที่ดี ภาวะการเป็นผู้นำจะแตกต่างไปตามระยะการเจริญเติบโตของธุรกิจ  ในระยะเริ่มทำธุรกิจ จะต้องรับบทบาทการเป็นผู้นำจะแตกต่างไปตามระยะการเติบโตของธุรกิจ  ในระยะเริ่มทำธุรกิจ  จะต้องรับบทบาทเป็นผู้นำที่ลงมือทำทุกอย่างด้วยตนเอง  ต้องทำงานหนักเพื่อบรรลุความสำเร็จ  เอาใจใส่ผู้ร่วมงาน  วางแผนทางการทำงาน  ให้คำแนะนำและให้ผู้ร่วมงานรับค่าสิ่งด้วยความเต็มใจในการปฏิบัติงาน  เป็นผู้กำกับดูแลอย่างใกล้ชิดและเป็นกันเองจะทำให้การดำเนินงานเป็นไปด้วยดี  ต่อมาเมื่อกิจการเติบโตขึ้น  การบริหารงานก็จะเปลี่ยนแปลงไป  ลูกน้องก็จะมีลักษณะเปลี่ยนแปลงและเชื่อมั่นได้มากขึ้น  ไว้ใจได้  สามารถที่จะแบ่งความรับผิดชอบให้ลูกน้องได้มากขึ้น  จนสามารถปล่อยให้ดำเนินการเองได้  ส่วนตนจะได้มีเวลาใช้ความคิดพัฒนาผลิตภัณฑ์    ขยายกิจการหรือลงทุนใหม่  ดำเนินกิจการให้ลักษณะมืออาชีพมากกว่าเป็นธุรกิจเครือญาติ  กล้าลงทุนจ้างผู้บริหารมืออาชีพ  รู้จักปรับเปลี่ยนการบริหาร  เพื่อทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ
👻  มีความเชื่อมั่นในตนเอง (Be Self Confident)  ผู้ประกอบการที่จะประสบความสำเร็จมักจะเป็นผู้ที่มีความเชื่อมั่นในความสามารถของตนเอง  มีความเป็นอิสระและรู้จักพึ่งตนเอง  มีความมั่นใจ  มีความเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว  มีลักษณะเป็นผู้นำ  มีความเชื่อมั่นที่จะเอาชนะสิ่งแวดล้อมที่น่ากลัว  มีความทะเยอทะยาน  และไม่ประเมินความสามารถของตนเองสูงเกินไปหรือเชื่อมั่นตนเองมากเกินไป
👻  มีวิสัยทัศน์กว้างไกล (Visionary)  เป็นผู้ที่สามารถวิเคราะห์เหตุการณ์ในอนาคตได้อย่างแม่นยำ และรู้จักเตรียมพร้อมรับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น
👻 มีความรับผิดชอบ (Responsibility)  มีความรับผิดชอบต่องานที่ทำเป็นอย่างดี เป็นผู้นำในการทำสิ่งต่างๆ มักจะมีความริเริ่มแล้วลงมือทำด้วยตนเอง หรือมอบหมายให้ผู้อื่นทำและจะดูแลจนงานสำเร็จตามเป้าหมาย โดยจะรับผิดชอบผลการตัดสินใจ ไม่ว่าผลจะออกมาดีหรือไม่ มีความเชื่อว่าความสำเร็จเกิดจากความเอาใจใส่  ความพยายาม  ความรับผิดชอบ  มิใช่เกิดจากโชคช่วย

👻  มีความกระตือรือร้นและไม่หยุดนิ่ง (Enthusiastic)  มีการทำงานที่เต็มไปด้วยพลัง  มีชีวิตชีวา  มีความกระตือรือร้น  ทำงานทุกอย่างโดยไม่หลีกเลี่ยง  ทำงานหนักมากกว่าคนทั่วไป

ขอขอบคุณ www.sites.google.com
สืบค้นวันที่ 27 ธันวาคม 2560


                                                                                                                

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น